10 อันดับ เมาส์ไร้สาย ยี่ห้อไหนดี 2024 เมาส์เชื่อมต่อผ่านบลูทูธได้

แน่นอนว่าก่อนจะเลือกซื้อเมาส์แบบไร้สาย (Mouse Wireless) มาใช้ คุณควรคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ด้วย

1. รูปแบบการเชื่อมต่อของเมาส์แบบไร้สาย

เมาส์แบบไร้สายจะมีการเชื่อมต่ออยู่ 2 แบบ คือ เชื่อมต่อด้วยตัวรับสัญญาณ USB และ Bluetooth ก่อนซื้อต้องคิดให้ดีก่อนว่าเชื่อมต่อแบบไหนสะดวกต่อการใช้งานของเราได้ดีที่สุด

• เมาส์แบบไร้สายเชื่อมต่อ USB

ข้อดีคือ ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องติดตั้งอะไรให้ยุ่งยาก และยังสามารถใช้งานได้ในระยะไกลสูงสุด 10 เมตร

ข้อเสียคือ เมาส์ที่เชื่อมต่อด้วย USB จะมีตัวรับสัญญาณ USB เพียงแค่ 1 อันเท่านั้น ถ้าหากทำ USB หายไป ก็จะไม่สามารถใช้งานได้อีก

ดังนั้นขอแนะนำว่าถ้าหากต้องพกพาเมาส์ชนิดนี้ไปทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ ควรเลือกเมาส์ที่สามารถเก็บตัวรับสัญญาณ USB ได้ภายในตัว ซึ่งโดยทั่วไปจะมีช่องสำหรับเก็บอยู่ด้านใต้ของตัวเม้าส์เลย เพื่อป้องกันการสูญหาย และเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บรักษาอีกด้วย

• เมาส์แบบไร้สายเชื่อมต่อ Bluetooth

ข้อดีคือสามารถใช้งานได้กับหลากหลายอุปกรณ์ ใช้ได้ทั้งกับคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค รวมไปถึงแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนเองก็ใช้ได้ และสำหรับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่มีการรองรับบลูทูธภายในเครื่องนั้น เราสามารถซื้ออุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณ Bluetooth มาติดตั้งกับอุปกรณ์เองได้

ข้อเสียคือ เมาส์ที่รับ-ส่งสัญญาณเชื่อมต่อด้วยบลูทูธ เวลาใช้เมาส์ในบางกรณีอาจเจอกับปัญหาเมาส์มีอาการติดๆ ดับๆ ได้ ซึ่งมีผลมาจากตัวรับส่งสัญญาณ Bluetooth ในอุปกรณ์ของเราไม่ค่อยเสถียร ดังนั้นก่อนซื้อเมาส์แบบไร้สายที่เชื่อมต่อแบบนี้มาใช้ ควรดูคุณสมบัติของตัวเมาส์ รวมถึงฟังก์ชันต่างๆ ของเมาส์ให้ดีก่อน ว่าตรงกับความต้องการในการใช้งานของคุณหรือไม่ เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะใช้งานได้

2. เลือกเมาส์แบบไร้สายจากรูปแบบการใช้พลังงาน

เมาส์แบบไร้สาย (Mouse Wireless) ใช้แหล่งพลังงานอยู่ 2 แบบคือ แบบชาร์จไฟ กับแบบใช้ถ่าน โดยมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันดังนี้

• แบบใช้ถ่าน จะใช้งานได้ง่าย เพราะไม่ต้องเสียเวลาชาร์จไฟ เมื่อถ่านหมดก็แค่เปลี่ยนถ่านก้อนใหม่แล้วสามารถใช้งานต่อได้เลย ถ่าน 1 ก้อนสามารถใช้งานได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อของถ่านอีกที
• แบบชาร์จไฟ จะง่ายต่อการใช้งานโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินในการซื้อถ่านมาใส่ เพราะเมื่อพลังงานของเมาส์หมด คุณเพียงแค่ชาร์จไฟ ใช้เวลาในการชาร์จไม่นานก็สามารถนำมาใช้งานได้ทันที จึงถือได้ว่าการใช้เมาส์แบบชาร์จไฟจะคุ้มค่ามากกว่าแบบใช้ถ่านอีกด้วย

3. เลือกเมาส์แบบไร้สายจากขนาดและน้ำหนัก

ขนาดและน้ำหนักของเมาส์แบบไร้สายขึ้นอยู่กับความพึงพอใจต่อการใช้งานของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเลือกเมาส์ที่สามารถจับได้อย่างถนัดมือ มีน้ำหนักเบา เพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนเมาส์ และเมื่อใช้งานเมาส์ไปนานๆ จะได้ไม่เมื่อยมือ แนะนำว่าถ้าหากทางร้านมีให้ทดลอง ก็ให้ลองใช้ ลองจับดูก่อนตัดสินใจซื้อมาใช้งานจริงๆ

4. เลือกเมาส์แบบไร้สายจากความละเอียด (DPI)

DPI  (Dot Per Inch) คือค่าที่ใช้วัดความไวของเมาส์แบบไร้สาย ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งาน สำหรับผู้ที่ต้องการนำไปใช้เล่นเกมอย่างสายเกมเมอร์ ควรเลือกเมาส์แบบไร้สายที่มีค่า DPI สูงๆ เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว มีแม่นยำสูง และสำหรับผู้ที่นำไปใช้ในการทำงาน หรือเล่นอินเตอร์เน็ตทั่วไป สามารถใช้ได้ที่ค่าตั้งแต่ 800 – 1600 DPI ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว

5. เลือกเมาส์แบบไร้สายจากลักษณะเซนเซอร์ของเมาส์

เซนเซอร์ของเมาส์แบบไร้สาย ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ควรคำนึงในการเลือกซื้อเมาส์แบบไร้สายมาใช้งาน ซึ่งเซนเซอร์ของเมาส์แบบไร้สายสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

• Optical Sensor (เมาส์ออปติคัล)

เป็นเซนเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งเมาส์ออปติคัล คือเมาส์ที่ใช้เซนเซอร์ออปติคัล (Optical Sensor) ซึ่งจะพบเห็นได้มากที่สุด มีหลักการทำงานโดยการใช้หลอดไฟ LED สีแดงส่องลงบนพื้นผิว เพื่อติดตามตำแหน่งและส่งสัญญาณกับไปยังหน่วยประมวลผล เพื่อทำให้เมาส์เคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่คุณต้องการ

ข้อดีของเมาส์ออปติคัลคือ มีราคาไม่แพงมาก และใช้ได้กับพื้นผิวที่หลากหลาย แต่ไม่แนะนำให้ใช้กับพื้นผิวที่มีความมันวาวหรือเป็นกระจก เพราะจะทำให้แสงสะท้อนกลับหรือทะลุผ่าน จึงเป็นสาเหตุทำให้เซนเซอร์ไม่ทำงานได้

• Laser Sensor (เมาส์เลเซอร์)

เมาส์เลเซอร์ (Laser Mouse) เป็นเมาส์ที่มีความแม่นยำกว่าเมาส์ออปติคัล ข้อดีของเมาส์เลเซอร์คือ เคลื่อนที่ได้รวดเร็วและมีความแม่นยำสูง ใช้พลังงานต่ำ และสามารถใช้งานได้ดีกับหลากหลายพื้นผิว โดยเฉพาะพื้นผิวสะท้อนแสง หรือพื้นผิวที่มีความขรุขระไม่มาก แต่จะไม่ตอบสนองต่อพื้นผิวที่เป็นแก้ว หากต้องใช้เมาส์เลเซอร์กับโต๊ะกระจกหรือพื้นผิวที่เป็นแก้ว แนะนำว่าควรหาแผ่นรองเมาส์มารองไว้ จะใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น