10 อันดับ เครื่องปริ้น ยี่ห้อไหนดี 2024 ปริ้นเร็ว ความละเอียดสูง

จบปัญหากับการต้องออกไปปริ้นงาน หรือถ่ายเอกสารที่ร้าน เรามี เครื่องปริ้น คุณภาพดี ประสิทธิภาพในการพิมพ์งานสูง มีฟังก์ชันในการใช้งานได้อย่างหลากหลายมาแนะนำ

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเครื่องปริ้นเตอร์ มีประโยชน์และจำเป็นมากๆ กับเหล่านักเรียน นักศึกษา พนักงาน หรือคนทำงาน ที่ต้องมีเครื่องปริ้นเตอร์ไว้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน บริษัท สถานศึกษา รวมถึงสำนักงานต่างๆ ก็ตาม เพื่อความสะดวกในการพิมพ์งาน และประหยัดเวลาที่ต้องออกไปพิมพ์งานที่ร้าน แต่เครื่องปริ้นนั้นได้ถูกผลิตออกมาอย่างหลากหลายโดยแบรนด์ดังมากมาย ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชันในการทำงานที่ต่างกัน โดยเราได้รวบรวมเครื่องปริ้นจากหลายๆ แบรนด์ เพื่อคัดสรร spec และฟังก์ชันต่างๆ มาไว้ที่นี่แล้ว ไปดูกันเลย | จัดอันดับโดย pro4289

ประเภทของเครื่องปริ้น

เครื่องปริ้น หรือปริ้นเตอร์ ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท มีดังนี้

• เครื่องปริ้นแบบหัวเข็ม (Dot Matrix Printer)

เป็นเครื่องพิมพ์ชนิดหัวเข็ม ทำงานโดยใช้กลไกของการกระแทกหัวเข็มผ่านผ้าหมึกลงไปในกระดาษเป็นแบบจุดๆ เหมาะกับงานที่ต้องการทำสำเนาหลายๆ แผ่นในเวลาเดียวกัน ข้อดีคือ มีความทนทาน ผ้าหมึกมีราคาถูก แต่มีข้อเสียคือ พิมพ์ได้แค่สีเดียว และจะมีเสียงดังในขณะที่เครื่องทำงาน หากเทียบกับเครื่องพิมพ์ชนิดอื่น

• เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต (Inkjet Printer)

เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตหรือที่เรียกกันอีกชื่อว่าเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทำงานโดยการหยดหมึกหรือพ่นหมึกลงบนกระดาษตามที่เราสั่งพิมพ์ สามารถพิมพ์ได้ทั้งสีขาว สีดำ หรือพิมพ์สี หมึกที่ใช้ก็จะเป็นในรูปแบบน้ำหมึก จำนวน 4 สี คือ สีดำ, สีฟ้า, สีแดง และสีเหลือง หรือที่เรียกติดปากว่า CMYK

• เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser printer)

เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้แสงเลเซอร์วาดลงบนกระบอกรับภาพที่มีประจุไฟฟ้า ตามรูปร่างของสิ่งที่ต้องการพิมพ์ลงบนกระดาษ เมื่อกระบอกรับภาพหมุน ผงหมึกก็จะเกาะไปตามบริเวณที่มีประจุไฟฟ้า แล้วอัดผงหมึกลงบนกระดาษด้วยความร้อน เครื่องพิมพ์ชนิดนี้มีความเร็วในการพิมพ์สูง สามารถพิมพ์ได้หลายสิบแผ่นต่อนาที โดยตลับหมึกที่ใช้งานของเครื่องพิมพ์เลเซอร์นั้นเรียกว่า โทนเนอร์ ใช้สีได้ทั้งสีขาว สีดำ และสีอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้

• เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน (Multifunction printer)

เป็นเครื่องพิมพ์ออลอินวัน (All in one) ที่ผสมผสานฟังก์ชันการทำงานของอุปกรณ์หลายๆ ส่วนไว้ในชุดเดียวกัน ประกอบไปด้วย เครื่องปริ้นเตอร์ เครื่องสแกนเนอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องแฟกซ์ ซึ่งเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันจะเหมาะสำหรับการใช้งานในสถานประกอบการต่างๆ เพราะสะดวกต่อการใช้งาน สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบในเครื่องเดียว และไม่กินพื้นที่ในสำนักงานอีกด้วย

วิธีการเลือกเครื่องปริ้น

• เลือกจากแบรนด์ของเครื่องปริ้น

ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ ถือเป็นปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อการเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ เพราะแต่ละคนมักมีแบรนด์ที่ชื่นชอบอยู่แล้ว แต่ยังคงต้องศึกษาในเรื่องของ spec และฟังก์ชันของตัวเครื่องปริ้นให้ดีด้วย เพื่อให้ได้ตรงตามการใช้งาน และคุ้มค่าต่อราคาซื้อมาใช้งาน

• เลือกจากประเภทของเครื่องปริ้น

เครื่องปริ้นหลักๆ จะแบ่งได้ 4 ประเภทคือ เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม, เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต, เครื่องพิมพ์เลเซอร์ และเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน แต่ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายจะเป็นเครื่องปริ้นอิงค์เจ็ท เพราะส่วนใหญ่จะราคาไม่แพงมาก มีขนาดกะทัดรัด ไม่เปลืองพื้นที่ในการจัดวาง ทั้งยังสามารถสั่งงานผ่านระบบไร้สายด้วยระบบ Wifi และสามารถสั่งปริ้นผ่านทางโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

• เลือกจากความละเอียดและความเร็วในการปริ้น

อีกปัจจัยหนึ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกเครื่องปริ้นคือ ความละเอียดและความเร็วในการปริ้นงานออกมา โดยความละเอียดของภาพจะดูจาก DPI (Dot Per Inch) ซึ่งเป็นหน่วยวัดความละเอียดของภาพ โดยทั่วไปค่าเฉลี่ยมักจะอยู่ที่ 300 – 600 dpi ส่วน PPM (Page Per Minute) เป็นตัวบอกความเร็วในการปริ้นว่าสามารถปริ้นได้กี่หน้าต่อนาที และ IPM (Image Per Minute) เป็นตัวบอกความเร็วในการปริ้นภาพต่อนาทีนั่นเอง

• เลือกจากขนาดกระดาษ

เครื่องปริ้นโดยทั่วไปรองรับกระดาษขนาด A4 อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ต้องการใช้ในงานที่ต้องพิมพ์กับกระดาษที่มีขนาดใหญ่กว่า A4 อย่างเช่น A3, A2 หรือ A1 อาจต้องดูรุ่นเครื่องปริ้นให้ดี เพราะบางรุ่นก็ไม่สามารถใช้กับกระดาษขนาดใหญ่ได้

การดูแลรักษาเครื่องปริ้น

• ควรตั้งเครื่องปริ้นในบริเวณที่มีฝุ่นละอองน้อย
• หากไม่ได้ใช้งานเครื่องพิมพ์ ให้หาผ้าคลุมเครื่องพิมพ์ เพื่อป้องกันฝุ่นละออง
• ไม่ควรปล่อยให้เครื่องพิมพ์ไม่มีตลับหมึกในเครื่อง เพราะจะทำให้อากาศเข้าไป ทำให้เกิดปัญหาหัวพิมพ์อุดตันได้
• ควรเปลี่ยนตลับหมึกทันทีเมื่อเครื่องพิมพ์แสดงไฟสถานะว่าหมึกหมด หรือติดสว่างเป็นไฟสีแดง
• หากไม่มีการใช้งานเครื่องพิมพ์เป็นระยะเวลานาน ควรมีการเปิดเครื่องพิมพ์อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้เครื่องพิมพ์ตรวจสอบระบบการทำงานและระบบฉีดหมึกของหัวพิมพ์ เพื่อป้องกันหัวพิมพ์เกิดการอุดตันได้