เครื่องสำรองจ่ายไฟ (Power Supply) คืออุปกรณ์ที่ใช้จ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ในการให้พลังงานไฟฟ้าที่จำเป็นในการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้น หน้าที่หลักของเครื่องสำรองจ่ายไฟคือแปลงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้าจากเสาไฟฟ้าหรือแหล่งพลังงานอื่น ๆ ให้เป็นไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของอุปกรณ์และอิเล็กทรอนิกส์ที่เราต้องการใช้งาน มีหลายรูปแบบและขนาดต่าง ๆ ตามความต้องการ เครื่องสำรองจ่ายไฟมักมีหน่วยวัดความจุในวัตต์ (Watt) ซึ่งต้องเลือกให้ตรงกับความต้องการพลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อกับเครื่องสำรองจ่ายไฟ เพื่อให้การจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่อุปกรณ์มีความเพียงพอและปลอดภัย | จัดอันดับโดยเว็บ pro4289.com

10 อันดับ Power Supply ยี่ห้อไหนดี 2024

1

Gigabyte รุ่น P750GM | 750W

2

Thermaltake รุ่น Smart RGB | 700W

3

Gigabyte รุ่น P550B | 550W

4
power supply

Antec รุ่น VP700P Plus | 700W ​

5

Corsair รุ่น RM850 | 850W

6

MSI รุ่น MAG-A550BN 80 Plus Bronze | 550W

7

Gigabyte รุ่น UD750GM | 750W

8

Gigabyte รุ่น AORUS 80+ Gold | 750W

9

Thermaltake รุ่น Toughpower GF3 Gold | 1000W

10

Gigabyte รุ่น P650B | 650W

Power Supply ยี่ห้อดัง ยอดนิยม

Power Supply ยอดนิยม ขายดี - ประจำเดือน

ประเภทของเครื่องสำรองจ่ายไฟ มีอะไรบ้าง?

เครื่องสำรองจ่ายไฟมีหลายประเภท ออกแบบมาเพื่อให้ความเหมาะสมกับความต้องการและการใช้งานต่าง ๆ ดังนี้:

1.Linear Power Supply (LPS): เป็นเครื่องสำรองจ่ายไฟที่ใช้ทรานส์ฟอร์เมอร์แบบแปรผันเพื่อแปลงแหล่งพลังงานไฟฟ้าให้ออกมาเป็นไฟฟ้าที่เสถียรและมีความต่ำในระดับรบกวน (Noise) มักถูกใช้ในอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรและคุณภาพสูง เช่น เครื่องขยายเสียง

2.Switching Power Supply (SMPS): เป็นเครื่องสำรองจ่ายไฟที่ใช้วงจรสวิตชิ่งเพื่อแปลงแหล่งพลังงานไฟฟ้า เป็นไฟฟ้าแบบสัญญาณเปิด-ปิดตามความต้องการ เครื่องสำรองจ่ายไฟแบบนี้มีขนาดเล็กและมีความมีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานไฟฟ้า มักใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์

3.Uninterruptible Power Supply (UPS): เป็นเครื่องสำรองจ่ายไฟที่มีฟังก์ชันการสำรองจ่ายไฟฟ้าในกรณีที่มีไฟดับ โดยมีแบตเตอรี่ภายในเพื่อให้ไฟฟ้าคงที่ในขณะที่มีการเปลี่ยนสลับไปยังแหล่งพลังงานไฟฟ้าอื่น ๆ เครื่อง UPS มักใช้ในสำนักงานและศูนย์ข้อมูลเพื่อปกป้องข้อมูลและอุปกรณ์ต่าง ๆ จากการไฟดับ

4.DC Power Supply: เป็นเครื่องสำรองจ่ายไฟที่ให้ไฟฟ้าแบบกระจาย (Direct Current) โดยส่วนใหญ่ใช้ในงานทดสอบและการวิเคราะห์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการไฟฟ้าแบบกระจาย

5.Battery Backup Power Supply: หรือเครื่องสำรองจ่ายไฟที่ใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยใช้แบตเตอรี่เพื่อสำรองจ่ายไฟในกรณีไฟฟ้าดับ มักใช้ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องการการสำรองจ่ายไฟในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟฉุกเฉินของอาคารหรือการบิน

6.Rack-Mount Power Supply: สำหรับใช้ในศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์เครือข่าย มักมีหลายช่องต่อและความจุสูง เพื่อให้รองรับการทำงานของอุปกรณ์หลายชิ้นพร้อมกัน

7.Portable Power Bank: เป็นเครื่องสำรองจ่ายไฟพกพาที่มีขนาดเล็กและสามารถชาร์จอุปกรณ์พกพา เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในที่ที่ไม่มีแหล่งพลังงานไฟฟ้า มักใช้ในการเดินทางหรือในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ควรเลือกประเภทของเครื่องสำรองจ่ายไฟที่เหมาะกับความต้องการและการใช้งานของคุณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและให้พลังงานไฟฟ้าแก่อุปกรณ์ของคุณ

วิธีเลือกซื้อเครื่องสำรองจ่ายไฟ

การเลือกซื้อเครื่องสำรองจ่ายไฟ (Power Supply) ให้ตรงความต้องการของคุณเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คุณได้รับเครื่องที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้พลังงานไฟฟ้าแก่อุปกรณ์ของคุณ ดังนี้:

1.กำหนดความต้องการของพลังงานไฟฟ้า: หากคุณทราบว่าคุณต้องการเครื่องสำรองจ่ายไฟสำหรับอุปกรณ์ที่มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่าใด คุณสามารถดูข้อมูลนี้ในอุปกรณ์เองหรือในคู่มือการใช้งานของอุปกรณ์ โดยปกติจะมีข้อมูลความต้องการของวัตต์ (Watt) ในอุปกรณ์

2.เลือกประเภทของเครื่องสำรองจ่ายไฟ: หลังจากที่คุณทราบความต้องการของพลังงานไฟฟ้าแล้ว คุณสามารถเลือกประเภทของเครื่องสำรองจ่ายไฟที่เหมาะสม โดยพิจารณาว่าคุณต้องการเครื่องสำรองจ่ายไฟแบบ Linear Power Supply (LPS) หรือ Switching Power Supply (SMPS) ตามความเหมาะสมและการใช้งานของคุณ

3.ความสามารถในการรับน้ำหนัก (Capacity): เครื่องสำรองจ่ายไฟมักมีความจุในการให้พลังงานไฟฟ้าในหน่วยวัตต์ (Watt) ความสามารถในการรับน้ำหนักขึ้นอยู่กับจำนวนและประเภทของอุปกรณ์ที่คุณต้องการเชื่อมต่อ. ควรเลือกเครื่องสำรองจ่ายไฟที่มีความจุมากพอเหมาะกับอุปกรณ์ทั้งหมด

4.คุณภาพและยี่ห้อ: เลือกเครื่องสำรองจ่ายไฟจากยี่ห้อที่เชื่อถือได้และมีคุณภาพดี เนื่องจากเครื่องสำรองจ่ายไฟที่คุณเลือกควรเป็นอุปกรณ์ที่มีความเสถียรและปลอดภัย

5.คุณสมบัติเพิ่มเติม: ตรวจสอบว่าเครื่องสำรองจ่ายไฟมีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่คุณต้องการ เช่น การป้องกันการไฟดับ (UPS) หรือการป้องกันการแรงดันไฟฟ้าตก (Voltage Fluctuations) และความสามารถในการรับน้ำหนักในสภาวะเฉพาะที่ เช่น การทนต่อการสั่นสะเทือนหรือสภาวะสภาพอากาศแปรปรวน

6.การควบคุมและการตรวจสอบ: คุณอาจต้องการเครื่องสำรองจ่ายไฟที่มีระบบควบคุมและการตรวจสอบเพื่อตรวจสอบสถานะและการทำงานของเครื่องสำรองจ่ายไฟได้อย่างง่ายดาย

7.ราคา: คุณควรพิจารณาราคาและงบประมาณของคุณ สามารถหาข้อมูลราคาและเปรียบเทียบระหว่างร้านค้าต่าง ๆ เพื่อหาเครื่องสำรองจ่ายไฟที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณของคุณ

การทำขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องสำรองจ่ายไฟที่เหมาะสมสำหรับความต้องการและการใช้งานของคุณ ช่วยให้คุณมีการสำรองจ่ายไฟที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับอุปกรณ์ของคุณ

ข้อดี-ข้อเสียของเครื่องสำรองจ่ายไฟ

เครื่องสำรองจ่ายไฟ (Power Supply) มีข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ ซึ่งคุณควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้งานเครื่องสำรองจ่ายไฟ ต่อไปนี้คือข้อดีและข้อเสียของเครื่องสำรองจ่ายไฟ:

ข้อดีของเครื่องสำรองจ่ายไฟ:

1.การป้องกันอุปกรณ์: เครื่องสำรองจ่ายไฟช่วยป้องกันอุปกรณ์ของคุณจากการไฟดับ (Power Outage) หรือการแรงดันไฟฟ้าตก (Voltage Fluctuations) ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์เสียหายหรือเสียชีวิต

2.ความเสถียรและคุณภาพในการจ่ายไฟ: เครื่องสำรองจ่ายไฟมักมีความเสถียรและคุณภาพในการจ่ายไฟที่ดี ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.ความสะดวกในการทำงาน: เครื่องสำรองจ่ายไฟมักมีระบบการทำงานที่อัตโนมัติ ซึ่งไม่ต้องมีการแทรกแซงจากผู้ใช้ และมักมีฟังก์ชันการตั้งค่าได้ (Adjustable Rate) เพื่อให้การจ่ายไฟที่ถูกต้อง

4.การสำรองข้อมูล: เครื่องสำรองจ่ายไฟประเภท UPS สามารถสำรองข้อมูลและปกป้องระบบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ จากการไฟดับ ซึ่งช่วยให้คุณไม่สูญเสียข้อมูลสำคัญ

ข้อเสียของเครื่องสำรองจ่ายไฟ:

1.ราคาสูง: เครื่องสำรองจ่ายไฟที่มีคุณภาพสูงมักมีราคาสูงกว่าเครื่องสำรองจ่ายไฟที่มีคุณภาพต่ำ ๆ นอกจากนี้ เครื่องสำรองจ่ายไฟประเภท UPS ยังต้องใช้แบตเตอรี่ที่ต้องเปลี่ยน ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

2.ขนาดและน้ำหนัก: เครื่องสำรองจ่ายไฟมักมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาในการติดตั้งและการจัดเก็บ

3.การสูญเสียพลังงาน: เครื่องสำรองจ่ายไฟมักมีการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าขณะการแปลงและการให้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

4.ความซับซ้อนในการบำรุงรักษา: บางเครื่องสำรองจ่ายไฟอาจต้องมีการบำรุงรักษาและเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นระยะ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน

5.สูญเสียความเสถียรภาพ: เครื่องสำรองจ่ายไฟประเภท SMPS อาจมีการสร้างรบกวนไฟฟ้า (Noise) ได้มากกว่า LPS ซึ่งอาจมีผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรและคุณภาพสูงในการจ่ายไฟ

การพิจารณาข้อดีและข้อเสียของเครื่องสำรองจ่ายไฟเป็นสิ่งสำคัญเมื่อต้องการเลือกใช้งานเครื่องสำรองจ่ายไฟ เพื่อให้คุณตัดสินใจในการเลือกและใช้งานเครื่องสำรองจ่ายไฟอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ

คำถามที่พบบ่อย

เครื่องสำรองจ่ายไฟ (Power Supply) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในระบบไฟฟ้า เพื่อจ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ในการให้พลังงานไฟฟ้าที่จำเป็นในการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้น

หน้าที่หลักของเครื่องสำรองจ่ายไฟ คือแปลงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่เป็นไปได้เช่น ไฟฟ้าจากเสาไฟฟ้าหรือแหล่งพลังงานอื่น ๆ ให้เป็นไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของอุปกรณ์และอิเล็กทรอนิกส์ที่เราต้องการใช้งาน

เมื่อคุณเลือกเครื่องสำรองจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ของคุณ ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงความจุของเครื่องสำรองจ่ายไฟในหน่วยวัตต์ (Watt) และความต้องการพลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์ที่คุณต้องการเชื่อมต่อ ในกรณีที่คุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับความต้องการของวัตต์ ควรติดต่อผู้ผลิตของอุปกรณ์หรือดูในข้อมูลทางเทคนิคของอุปกรณ์เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้า

การต่อเครื่องสำรองจ่ายไฟ ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:

  • ตรวจสอบความเหมาะสมของเครื่องสำรองจ่ายไฟกับอุปกรณ์ที่คุณต้องการเชื่อมต่อ
  • ตรวจสอบสายไฟและช่องต่อ เพื่อให้แน่ใจว่ามันเข้ากันได้อย่างถูกต้อง
  • เชื่อมต่อสายไฟจากเครื่องสำรองจ่ายไฟกับอุปกรณ์ที่ต้องการให้พลังงาน
  • เชื่อมต่อสายไฟจากแหล่งพลังงานไฟฟ้าเข้ากับเครื่องสำรองจ่ายไฟ
  • เปิดเครื่องสำรองจ่ายไฟและเปิดเครื่องอุปกรณ์ของคุณ

เครื่องสำรองจ่ายไฟมักมีฟังก์ชั่นการป้องกันต่าง ๆ เพื่อรักษาอุปกรณ์จากปัญหาไฟฟ้า มีฟังก์ชั่นที่สำคัญได้แก่:

  • การป้องกันการไฟดับ (Power Outage)
  • การป้องกันการแรงดันไฟฟ้าตก (Voltage Fluctuations)
  • ป้องกันอุปกรณ์จากความแรงดันไฟฟ้าที่ไม่เสถียร
  • การป้องกันการไฟขาดแรง (Under Voltage Protection)
  • การป้องกันการไฟเกินแรง (Over Voltage Protection)

เครื่องสำรองจ่ายไฟมีอายุการใช้งาน โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ปี แต่อายุการใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการใช้งาน. สิ่งที่ควรทำเพื่อดูแลเครื่องสำรองจ่ายไฟได้ดีคือ:

  • รักษาระยะเวลาการใช้งาน ในข้อกำหนดที่ระบุโดยผู้ผลิต
  • รักษาความสะอาดของเครื่องสำรองจ่ายไฟ โดยไม่ให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้ามา
  • ตรวจสอบสายไฟและช่องต่อ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสายแตกหรือช่องต่อเสีย
  • ตรวจสอบเครื่องสำรองจ่ายไฟเป็นระยะ ๆ เพื่อแน่ใจว่าทำงานอย่างถูกต้อง