แรม (Random Access Memory) คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลและโปรแกรมที่กำลังทำงานในระหว่างการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือในระหว่างการใช้งาน เป็นหน่วยความจำชั่วคราวที่มีความเร็วสูงและสามารถอ่าน / เขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น

แรมมีความสำคัญในประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ และสามารถรับมือกับงานที่มากขึ้นได้ โดยมีความจุแรมที่มากขึ้น การอัพเกรดหรือเพิ่มแรมในคอมพิวเตอร์ อาจช่วยให้โปรแกรมที่ใช้งานบนคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานได้เร็วขึ้น และรองรับงานที่ต้องการหน่วยความจำมากขึ้นได้ดีอีกด้วย | จัดอันดับโดยเว็บ pro4289.com

10 อันดับ RAM ยี่ห้อไหนดี 2024

1

Kingston FURY Beast 5600MHz DDR5 RGB

2

Kingston 3200MHz FURY Impact DDR4

3

G.SKILL TRIDENT Z RGB 16GB DDR4 3600MHz

4

Thermaltake RGB 32GB DDR4 3600MHz

5

Kingston FURY Renegade 3200MHz DDR4 RGB

6

Kingston 16GB (8GBx2) DDR5 5200MHz

7

G.SKILL 32GB (32GBx1) DDR5 4800MHz

8

CORSAIR (16GBx2) DDR5 5600MHz

9

VENGEANCE RGB PRO SL PC DDR4

10
ram

Kingston FURY Renegade DDR5 RGB 6400MHz

RAM ยี่ห้อดัง ยอดนิยม

RAM ยอดนิยม ขายดี - ประจำเดือน

ประเภทของแรม มีอะไรบ้าง?

แรม มีหลายประเภท ซึ่งมีลักษณะและการทำงานที่แตกต่างกัน:

  1. DRAM (Dynamic Random Access Memory): เป็นแรมที่ใช้งานแบบไดนามิก ซึ่งต้องรีเฟรชข้อมูลเป็นระยะๆ เพื่อรักษาข้อมูลในหน่วยความจำ แม้ว่า DRAM จะมีความจำคุณสมบัติแรมที่รวดเร็ว แต่มีความช้ากว่าแรมแบบอื่น ๆ อาจใช้ในรูปแบบ DDR3, DDR4, DDR5 และอื่น ๆ

  2. SRAM (Static Random Access Memory): เป็นแรมที่ใช้งานแบบคงที่ โดยไม่ต้องรีเฟรชข้อมูลเหมือนกับ DRAM ซึ่งทำให้มีความเร็วมากกว่า DRAM แต่มีความต้องการพื้นที่ จึงมักใช้ในงานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น แคชหน่วยประมวลผลหลัก (CPU Cache)

  3. DDR SDRAM (Double Data Rate Synchronous Dynamic RAM): เป็นแรมแบบไดนามิกที่ใช้งานคล้ายกับ DRAM แต่มีความเร็วสูงกว่า และสามารถรับส่งข้อมูลครั้งละ 1 คำสั่งหรือ 2 ครั้งต่อวินาที (double data rate) ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการส่งข้อมูล

  4. LPDDR (Low-Power Double Data Rate): เป็นแรมที่ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงานในอุปกรณ์พกพา เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต มีความเร็วที่สูงและใช้พลังงานน้อยเมื่อเทียบกับแรม DDR แบบปกติ

  5. ECC RAM (Error-Correcting Code RAM): เป็นแรมที่มาพร้อมกับการสร้างรหัสการตรวจสอบข้อผิดพลาด เพื่อแก้ไขข้อมูลที่เสียหายหรือผิดพลาดในระหว่างการทำงาน มักใช้ในเซิร์ฟเวอร์และระบบที่ต้องการความเสถียรและป้องกันข้อมูล

  6. VRAM (Video RAM): เป็นแรมที่ใช้สำหรับการแสดงผลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมักใช้ในการเล่นเกมและการประมวลผลกราฟิกที่ใช้ในงานวิดีโอ

  7. HBM (High Bandwidth Memory): เป็นแรมที่ออกแบบมาเพื่อมีความเร็วสูงและประสิทธิภาพสูงในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่าง CPU และ GPU ในการ์ดกราฟิก มักใช้ในการ์ดกราฟิกที่มีประสิทธิภาพสูง

นอกจากนี้ยังมีประเภทอื่น ๆ ของแรมที่ใช้ในอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น แรมในเซิร์ฟเวอร์ แรมในอุปกรณ์เครือข่าย และอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและการใช้งานที่แตกต่างกันไป

วิธีเลือกซื้อแรม

การเลือกซื้อแรม สำหรับคอมพิวเตอร์อาจจะมีความสำคัญมาก เพราะมีผลต่อประสิทธิภาพ:

  1. ตรวจสอบความเข้ากันกับเมนบอร์ด: แรมที่คุณเลือกต้องเข้ากับเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ของคุณ ตรวจสอบว่าเมนบอร์ดของคุณรองรับแรมประเภทใด (เช่น DDR4) และประสิทธิภาพสูงสุดที่รองรับ

  2. ความจุ: กำหนดความจุแรมที่คุณต้องการตามการใช้งานของคุณ สำหรับการใช้งานทั่วไปบนคอมพิวเตอร์ อย่างเช่น ท่องเว็บ ทำเอกสาร และอื่น ๆ ความจุ 8GB ถึง 16GB อาจเพียงพอ แต่ถ้าคุณใช้งานโปรแกรมหรือเล่นเกมที่ต้องการความจุแรมมากขึ้น อาจต้องพิจารณาใช้แรมความจุสูงกว่า

  3. ความเร็ว: มีผลต่อประสิทธิภาพของระบบ ความเร็วของแรมสามารถระบุในรูปแบบ MHz (เช่น 3200MHz) โดยทั่วไปความเร็วสูงกว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่า แต่ต้องแน่ใจว่าเมนบอร์ดของคุณรองรับความเร็วนั้น

  4. การรองรับ Dual Channel หรือ Quad Channel: หากเมนบอร์ดของคุณรองรับการใช้งานแรม Dual Channel หรือ Quad Channel คุณอาจต้องซื้อแรมในชุดของ 2 หรือ 4 แถวเพื่อให้การใช้งานแรมมีประสิทธิภาพสูง

  5. ราคา: พิจารณางบประมาณของคุณ และเปรียบเทียบราคาของแรมจากหลายๆร้าน อาจมีรุ่นแรมที่มีราคาที่คุ้มค่ามากกว่ารุ่นอื่น ๆ

  6. แบรนด์: คุณอาจต้องพิจารณาแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและรีวิวที่ดี เนื่องจากมีบริษัทที่มีมาตรฐานคุณภาพที่สูงกว่า

  7. การเป็น ECC RAM: หากคุณอยากได้ความเสถียรและความปลอดภัยของข้อมูล คุณอาจพิจารณาใช้ ECC RAM ซึ่งมีความสามารถในการแก้ไขข้อผิดพลาดข้อมูล

  8. ระยะประกัน: ตรวจสอบระยะเวลารับประกันของแรม และความคุ้มครองที่มากกว่านั้น

  9. ความเหมาะสมกับระบบ: ตรวจสอบขนาดและรูปแบบของแรมว่าจะพอดีกับเคสของคอมพิวเตอร์ของคุณหรือไม่ และว่ามีสิ่งที่จำเป็นเพิ่มเติมเช่น heatsink หรือไม่

  10. อุปกรณ์เสริม: ตรวจสอบว่าคุณต้องการอุปกรณ์เสริม เช่น RGB lighting หรือไม่ หากคุณอยากการแต่งคอมพิวเตอร์

หลังจากที่คุณพิจารณาตามหัวข้อทั้งหมดนี้แล้ว คุณจะสามารถเลือกแรมที่เหมาะกับคอมพิวเตอร์และการใช้งานของคุณได้อย่างเหมาะสมในราคาที่คุ้มค่าและประสิทธิภาพที่คุณต้องการ

ข้อดี-ข้อเสียของแรม

แรม มีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้:

ข้อดีของแรม:

  1. ความเร็ว: แรมมีความเร็วสูงในการอ่านและเขียนข้อมูล เรื่องนี้ช่วยให้โปรแกรมที่ทำงานในระบบสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว

  2. การเก็บข้อมูลชั่วคราว: แรมเป็นหน่วยความจำชั่วคราว ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมูลและโปรแกรมที่กำลังทำงานในระหว่างการเปิดเครื่อง หรือใช้งาน และทำให้การเรียกใช้ข้อมูลเร็วมาก

  3. ประสิทธิภาพ: การเพิ่มแรมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ได้ โดยเฉพาะในการทำงานกับโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันที่มีความต้องการความจุแรมมาก

  4. รองรับงานหนัก: แรมสามารถรองรับการทำงานที่มีความต้องการความจุแรมมาก ดังนั้นคุณสามารถใช้งานโปรแกรมหรือเล่นเกมที่มีกราฟิกและความซับซ้อนได้อย่างราบรื่น

  5. ความเสถียร: แรมไม่มีส่วนเคลื่อนไหวที่ต้องการการบำรุงรักษา และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ข้อเสียของแรม:

  1. ความจุถูกจำกัด: แรมมีความจุที่จำกัด ดังนั้นจำเป็นต้องเลือกแรมที่มีความจุพอเหมาะกับการใช้งาน

  2. มีราคาสูง: แรมที่มีความเร็วและความจุสูง มักมีราคาสูงกว่า นี่อาจเป็นข้อจำกัด สำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

  3. ข้อมูลจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง: ข้อมูลที่เก็บในแรมจะหายไปเมื่อคอมพิวเตอร์ถูกปิด ดังนั้นคุณต้องทำการบันทึกข้อมูลที่สำคัญลงในฮาร์ดไดรฟ์หรืออื่น ๆ

  4. ไม่สามารถเพิ่มความเร็วเอง: ความเร็วของแรมไม่สามารถเพิ่มได้โดยง่าย เช่น การอัพเกรดฮาร์ดแวร์อื่น ๆ แต่ต้องทำการอัพเกรดแรมเอง

  5. เป็นตัวจำกัดในการแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์: แรมมีบทบาทในการเรียกใช้โปรแกรมและข้อมูล แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ได้ เมื่อมีปัญหาฮาร์ดแวร์อื่น ๆ คุณอาจต้องแก้ไขปัญหาโดยการเปลี่ยนฮาร์ดแวร์นั้น

การเลือกใช้แรม ต้องพิจารณาความต้องการและการใช้งานของคุณอย่างถูกต้อง เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นไปตามความต้องการของคุณ

คำถามที่พบบ่อย

แรม (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำชั่วคราวในคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลและโปรแกรมที่กำลังทำงานในระหว่างการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือใช้งาน ทำหน้าที่ให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลและประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว

DDR3, DDR4, และ DDR5 เป็นรุ่นของแรมที่มีความแตกต่างในเรื่องความเร็วและประสิทธิภาพ

  • DDR4 มีความเร็วสูงกว่า DDR3
  • DDR5 มีความเร็วและความจุแรมสูงกว่า DDR4

ความแตกต่างนี้อาจมีผลต่อประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์และความสามารถในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ

สามารถเพิ่มแรมในคอมพิวเตอร์ได้ โดยมักใช้งานช่องเสียบแรมที่ว่างอยู่บนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์

การเพิ่มแรมสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์โดยทั่วไป ทำให้มีความจุแรมมากขึ้น และสามารถรองรับโปรแกรมที่มีความต้องการความจุแรมมากขึ้น

ความจุแรมที่ควรมี ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคอมพิวเตอร์และความต้องการของผู้ใช้ สำหรับคอมพิวเตอร์ปกติที่ใช้งานสำหรับการเรียกใช้โปรแกรมทั่วไปและท่องเว็บ แรมความจุ 8GB ถึง 16GB จะเพียงพอ แต่หากคุณใช้งานแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมที่มีความต้องการความจุแรมสูง หรือทำงานในงานเชิงกราฟิกหรือเกมมิ่ง อาจต้องมีแรมความจุสูงกว่านี้

แรมมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและไม่มีกฎหรือข้อจำกัดที่เฉพาะเจาะจงว่าต้องสูญเสียข้อมูลหลังจากใช้งานนานเท่าไหร่ แรมมีการจัดการความผิดพลาดแบบอัตโนมัติ (ECC) เพื่อป้องกันข้อมูลไม่เสียหาย

ในกรณีของข้อผิดพลาดฮาร์ดแวร์ แต่ควรระมัดระวังและสำรองข้อมูลที่สำคัญอยู่ในแรมอยู่เสมอ เพราะถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ดับหรือรีสตาร์ทขณะที่มีข้อมูลไม่ถูกบันทึกลงดิสก์ ข้อมูลนั้นจะหายไป